วิตามิน (Vitamin) มาจากคำว่า Vita หมายถึง ชีวิต รวมกับคำว่าAmin หมายถึง สารอินทรีย์ ซึ่งมีความหมายว่าสารอินทรีย์ที่มีความสำคัญต่อชีวิต (Vita for life) นั่นเอง
Vitamin A
Vitamin C
สำหรับผิว
สำหรับผิว
วิตามิน เป็นสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย นับตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท ไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อและผลิตพลังงานสำหรับการดำรงชีวิต นอกจากนั้นวิตามินยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่นการสร้างเม็ดเลือดแดง, การแข็งตัวของเลือด, การสร้างกระดูก การมองเห็นและการทำงานของระบบประสาท วิตามินจึงเป็นสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งร่างกายจะขาดเสียไม่ได้ ดังนั้นถ้าต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงจึงควรได้รับวิตามินอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
หน้าที่ของวิตามินชนิดต่างๆVitamin A
วิตามิน เอ ได้ชื่อว่า วิตามินสำหรับดวงตา เพราะมีประโยชน์ต่อสมรรถภาพในการมองเห็น ช่วยให้มองเห็นในที่ที่มีแสงสว่างน้อย และช่วยให้มองเห็นสีสันต่างๆ เป็นปกติ ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน มีความสำคัญสำหรับการสร้างเคลือบฟัน (Enamel)ของฟัน ควบคุมการผลิตและการทำงานของเซลผิวหนัง และเซลเยื่อบุทั่วร่างกาย ให้เป็นไปตามปกติ
Vitamin B1ลดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ลดอาการเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อ(Fatigue) บรรเทาอาการซึมเศร้า (Depression) วิตกกังวล(Anxiety) นอนไม่หลับ (Insomnia) และอาการทางประสาทจากการติดเหล้า (Alcoholism's nerve system) อาการชักกระตุกตามอวัยวะต่างๆ หรือ พูดไม่ชัด จากการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง (Sclerosis) และไขสันหลัง (Multiple Sclerosis) อาการชาตามใบหน้า (Bell's Palsy, Facial Nerve Paralysis) ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก โดยกระตุ้นการหลั่งกรดHydrochloric Acid อาการเบาหวาน (Diabetes Melletus)
Vitamin B2 ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต และไขมัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังงานในรูป ATP (Adenosine Triphosphate) มีส่วนสำคัญในการบำรุงเส้นผม ผิวหนังและเล็บ ป้องกันอาการอักเสบต่างๆ ของผิวหนังเช่น สิว (Acne) บำรุงสุขภาพของดวงตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น ป้องกันอาการล้าของสายตา และต้อกระจก ลดอาการเครียดของกล้ามเนื้อ (Fatigue) มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์
Vitamin B3 ทำให้ร่างกายสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ไนอาซิน หรือ วิตามินบี 3 ช่วยในการสลาย Glycogen ที่สะสมอยู่ที่ตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็นกำลังงาน มีผลกระตุ้นให้การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และควบคุมระดับ Cholesterol และTriglyceride ในกระแสเลือด รวมทั้งเป็นสารสำคัญในขบวนการสร้างฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตเจน, โปรเจสเตอโรน ในผู้หญิง และ เทสโทสเตอโรน ในผู้ชาย พบว่ามีผลทำให้ ผิวพรรณ ลิ้น และอวัยวะต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพดี มีส่วนช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง
Vitamin B5 กระตุ้นให้มีการหลั่ง Cortisone ที่ต่อมหมวกไตมากขึ้น ทำให้สามารถลดความเครียดได้ดี (Antistress) และเพิ่มขบวนการเผาผลาญในร่างกายให้มากขึ้น รวมถึงกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้นด้วย ช่วยในการป้องกันอาการริ้วรอยแก่ก่อนวัย ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงผิวหนังและระบบประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น
Vitamin B6เป็น Co-Enzyme ในการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ช่วยในการผลิตกรดอะมิโน เสริมสร้างร่างกายที่สึกหรอ ช่วยรักษาสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย มีความจำเป็นในการเผาผลาญสารอาหารประเภท กรดอะมิโน และกรดไขมัน เพื่อนำไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยังจำเป็นในขบวนการสร้างฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆในร่างกาย จึงนิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตประสาทเช่น อาการซึมเศร้า เครียด เป็นต้น ช่วยลดระดับ Homocysteine ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดอาการอุดตันของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด สาเหตุการเกิดโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงอาการสมองเสื่อมด้วย และมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
Vitamin B12มีความสำคัญต่อขบวนการทำงานของเซลต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ประสาทและไขกระดูก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการเจริญเติบโตในเด็กและระบบการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ ให้เกิดเป็นพลังงาน จึงนิยมเรียกวิตามินนี้ว่า Energy Vitamin ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ(Fatigue) มีส่วนสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม DNA และRNA
Vitamin B ประโยชน์สำหรับผู้ชาย เป็นสารสำคัญในขบวนการสร้างฮอร์โมนเพศ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในผู้ชาย ช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายเป็นเป็นไปอย่างปกติ และมีส่วนช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) มีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไต เสริมสร้างพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ช่วยลดอาการข้ออักเสบ และช่วยชะลอความแก่Vitamin C
สำหรับผิว
วิตามินซี สามารถช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น เนื่องจากเป็นสารประกอบสำคัญในการทำงานของกรดอะมิโน Lysine และ Proline ที่ทำหน้าที่จัดระเบียบ และช่วยเรื่องความคงรูปของ Collagen และช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ช่วยในกระบวนการสร้างและซ่อมแซมเส้นใยโปรตีนคอลลาเจน ที่เป็นโครงสร้างหลักของ ผิวพรรณ เล็บ เส้นผม ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและนุ่มนวล รวมทั้งทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย
สำหรับสุขภาพวิตามิน ซี ( Ascorbic Acid ) เป็นหนึ่งใน วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำได้ มีความสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมสารโปรตีนที่ใช้ยึดเซลล์ในเนื้อเยื่อชนิดเดียวกันในร่างกาย ได้แก่เนื้อเยื่อหลอดเลือดฝอย กระดูก ฟันและพังผืด การรักษาบาดแผลในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ยังพบว่า วิตามินซียังช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่ร่างกายได้รับเข้าไป และมีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ผู้ที่ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะทำให้มีเลือดออกตามไรฟัน และอาจมีเลือดออกในที่ต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อเข่า และใต้ผิวหนัง เป็นต้น และยังช่วยลดอัตราการเป็นหมันในชาย และทำให้สเปริ์มแข็งแรงเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น ลดอัตราการเกิดอาการของเก๊าท์, ข้ออักเสบ, ภาวะผื่นแพ้ต่าง ๆ หรือการติดเชื้อไวรัส ลดอันตรายจากโลหะหนักหรือสารพิษต่าง ๆที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
สำหรับระบบภูมิคุ้มกันช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยเสริมความแข็งแรงให้เซลล์เนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจ หลอดลมและปอดมีความแข็งแรง และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ ช่วยลดภาวะผื่นแพ้ต่าง ๆ และลดการติดเชื้อไวรัส ป้องกันภูมิแพ้
Vitamin D วิตามินดีช่วยทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมเอาแคลเซียม (Calcium)และฟอสฟอรัส (Phosphorus) เข้ามาใช้ประโยชน์ในร่างกายได้ดีขึ้น มีผลทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง สำหรับสตรีในวัยหมดประจำเดือน มีความจำเป็นต้องรับประทาน เนื่องจากวิตามินดีช่วยลดปัญหาการเกิดภาวะกระดูกพรุนจากการขาดแคลเซียมได้ การรับประทานวิตามินดี ควบคู่กับวิตามินเอ มีผลในการลดอัตราการเกิดหวัด และนิยมแนะนำให้ผู้อยู่ ในภาวะเบาหวาน (Diabetes) ต้อกระจก(Cataract) ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณ
Vitamin Eสำหรับผิว
วิตามินอี มีคุณสมบัติ Antioxidant ช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ และปกป้องผิวจากรังสี UV ดังนั้นวิตามินอีจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาผิว มีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าวิตามินอี ช่วยลดการเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง ช่วยรักษาแผลเป็น และช่วยลดริ้วรอยบนผิว และชะลอความชราภาพของผิว รวมทั้งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนเรียบ พร้อมช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางามได้อีกด้วย
สำหรับสุขภาพเป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ดี ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ (Free Radical) โดยเฉพาะที่เกิดจากกรดไขมันที่ได้จากการรับประทานไขมันในชนิดที่มีการเติมสารไฮโดรเยน (Hydrogenated Oil)เพื่อเปลี่ยนกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้เป็นกรดไขมันอิ่มตัว และการรับประทานไขมันที่มีกลิ่นเหม็นหืน (Rancid) โดยก่อให้เกิดอาการอักเสบของเซลล์ผนังหลอดเลือด มีผลทำให้เกิดภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว, โรคหัวใจ, ภาวะความดันโลหิตสูง, ภาวะปวดอักเสบข้อ, ความแก่ หรือภาวะมะเร็งตามมาได้ในระยะยาว ดังนั้นการรับประทานวิตามิน อี จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าวข้างต้นได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น